โดย พลเรือตรี รศ. ทองใบ ธีรานันทางกูร
ที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นเรื่องของนโยบายต่างประเทศ ของประเทศไทยในช่วงสงครามแปซิฟิก(ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ) ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวอินโดจีนได้เปลี่ยนสถานะ จากที่เคยเป็นดินแดนแห่งการแสวงหาโอกาสทองของประเทศไทย กลับกลายมาเป็นดินแดนแห่งภัยคุกคามต่อเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยโยตรง ทั้งนี้เพราะประเทศญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายบุกลงทางใต้(ของประเทศจีน และของอินโดจีนฝรั่งเศส) ส่งกองทัพญี่ปุ่นอันมีแสนยานุภาพอันเกรียงไกรมาประชิดพรมแดนไทยด้านอินโดจีน และในที่สุดก็ได้บุกประเทศไทย(พร้อมๆกับโจมตีเพิร์ล ฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกาในเวลาเดียวกัน) เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ค.ศ.๑๙๔๑ เพื่อเดินทัพต่อไปยังแหลมมลายูและพม่าอาณานิคมของประเทศอังกฤษ
ช่วงที่เอาใจเพื่อขอบคุณประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงหลังการสิ้นสุดการขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสระหว่างเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๑ นโยบายต่างประเทศของประเทศไทยถูกกำหนดโดยความต้องการของผู้นำไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามที่จะแสดงความขอบคุณต่อประเทศญี่ปุ่นซึ่งเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทดินแดนอินโดจีนระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้ว
เป้าหมายของนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยในห้วงเวลาสั้นๆนี้มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับผลประโยชน์ทางการเมืองของประเทศไทยในอินโดจีนฝรั่งเศส แม้ว่าผู้นำไทยจะไม่พอใจในบทบาทผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสของประเทศญี่ปุ่น แต่ผู้นำไทยก็ได้แสดงท่าทีของการตอบแทนบุญคุณประเทศญี่ปุ่นด้วยการส่งออกข้าว ดีบุกและยางพาราไปให้ แต่นโยบายโอนอ่อนและเอาใจประเทศญี่ปุ่นนี้ก็ได้ถูกระงับเมื่อการส่งมอบดินแดนในอินโดจีนที่ประเทศไทยได้จากประเทศฝรั่งเศสได้ดำเนินการเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๔๑
เริ่มถูกกดดันจากประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงเวลาระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงปลายปี ค.ศ. ๑๙๔๑ การทูตและการต่างประเทศของประเทศไทยมีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงเดือนกรกฎาคมภาพลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ผู้นำไทยเห็นว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นมิตรผู้ใจบุญมีความเอื้ออารีได้กลับกลายเป็นศัตรูผู้เตรียมพร้อมที่จะตักตวงผลประโยชน์จากประเทศไทย ผู้นำของประเทศญี่ปุ่นได้พยายามบีบประเทศไทยให้เข้าร่วมในกลุ่มสกุลเงินเยน(Yen Block) และเขตไพบูลย์ร่วมกัน(The Co-Prosperity Sphere) ของประเทศญี่ปุ่น ความพยายามทางการทูตของประเทศญี่ปุ่นได้สร้างความหวาดหวั่นให้แก่ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นอย่างมาก เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการถูกบีบบังคับทางด้านการทหารจากการที่ประเทศญี่ปุ่นได้เคลื่อนทัพซึ่งก่อนหน้าอยู่ทางอินโดจีนฝรั่งเศสตอนเหนือได้เคลื่อนลงทางใต้เข้ามายึดครองอินโดจีนทางด้านประเทศกัมพูชาติดกับพรมแดนของประเทศไทย
ดำเนินโยบายความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด
ผู้นำของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของประเทศญี่ปุ่นในอินโดจีนฝรั่งเศสด้วยจิตใจจดจ่อ พร้อมกับเกิดความวิตกกังวลอย่างใหญ่หลวง เพราะในห้วงเวลานี้อินโดจีนได้เปลี่ยนแปลงสถานะจากดินแดนที่เคยอำนวยโอกาสทองให้แก่ประเทศไทยแต่มาบัดนี้ได้กลายเป็นดินแดนเป็นที่มาของภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยไปเสียแล้ว ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมภายนอกประเทศที่วิกฤตเป็นอย่างยิ่งนี้ การที่ประเทศไทยจะดำเนินนโยบายเป็นกล่างอย่างเคร่งครัด(Absolute Neutrality) ตามที่ได้ประกาศไว้ในช่วงก่อนหน้านี้โดยลำพังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง แต่ที่ประเทศไทยประกาศอย่างแข็งขันว่าจะดำเนินการปกป้องนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัดนั้นก็โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชักนำทั้งประเทศอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกาให้มาช่วยเหลือประเทศไทยในการต่อต้านการบุกของประเทศญี่ปุ่น แต่นโยบายชักนำของฝ่ายประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ เพราะว่าประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดประเทศไทยอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศจีน กล่าวคือ การช่วยเหลือทางทหารที่สหรัฐอเมริกาจะให้แก่ประเทศไทยนั้นจะดำเนินการหลังจากประเทศญี่ปุ่นบุกประเทศไทยแล้วเท่านั้น
ทางด้านประเทศอังกฤษนั้น เมื่อผู้นำในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามติดต่อไปก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ประเทศอังกฤษสามารถช่วยได้เฉพาะในเรื่องน้ำมันเท่านั้น ประเทศอังกฤษไม่สามารถให้ค่ำมันสัญญาใดๆแก่ประเทศไทยซึ่งจะส่งผลให้ประเทศอังกฤษต้องทำสงครามกับประเทศญี่ปุ่นได้ เว้นเสียแต่ว่าประเทศอังกฤษได้รับการสนับสนุนทางการทหารจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่เท่านั้น
ความล้มเหลวของนโยบายเป็นกลาง
เมื่อผู้นำในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามประสบความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายทางการทูตเพื่อที่จะชักนำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัดเช่นนี้แล้ว ก็เกิดความผิดหวังกับท่าทีที่ไม่เอื้อประโยชน์แก่ประเทศไทยของฝ่ายประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมพล ป. พิบูลสงครามได้แสดงออกถึงความผิดหวังออกมาโดยทางเอกสารทางการทูตที่ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ทางการทูตของประเทศอังกฤษในทำนองว่า ที่ประเทศไทยประกาศว่าจะดำเนินนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัดนั้นก็เพราะหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ
เกิดความรู้สึกว่าประเทศไทยถูกลอยแพและถูกประเทศอังกฤษเอาเปรียบ
นอกจากจะมีความรู้สึกว่าประเทศไทยถูกประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษลอยแพให้เผชิญกับประเทศญี่ปุ่นแต่โดยลำพังแล้ว ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามก็ยังมีความเชื่อด้วยว่าทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตนเองส่วนเดียวโดยไม่ยอมรับรู้ผลประโยชน์ของประเทศไทยเลย ทั้งนี้เพราะประเทศอังกฤษได้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ทางการทูตของไทยในเวลาต่อมาว่า ประเทศอังกฤษจะช่วยประเทศไทยป้องกันคอคอดกระ(Kra Isthmus) และดินแดนด้านใต้ของคอคอดกระนี้จนถึงคาบสมุทรมลายาของประเทศอังกฤษเท่านั้น ซึ่งเป็นท่าทีที่จอมพล ป.พิบูลสงครามรับทราบแล้วไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะจอมพล ป. พิบูลสงครามต้องการให้ประเทศอังกฤษมาช่วยปกป้องประเทศไทยทั้งประเทศมิใช่แค่ปกป้องดินแดนตั้งแต่ใต้คอคอดกระไปจนถึงคาบสมุทรมลายาเท่านั้น
ต้องการหลักประกันความมั่นคงจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
เมื่อประสบความล้มเหลวทางด้านการทูตในการขอความช่วยเหลือทางด้านการทหารจากทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษแล้ว ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามก็ยังไม่ละความพยายามและได้ดำเนินการทางการทูตติดต่อกับอัครราชทูตของประเทศอังกฤษและอัครราชทูตของประเทศสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ เพื่อขอให้รัฐบาลของประเทศอังกฤษและรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศอย่างทันทีทันใดว่า “การรุกรานประเทศไทยโดยประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นสงครามกับประเทศอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกา”
ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับคำตอบจากอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยว่า คำประกาศเช่นนั้นรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาไม่สามารถกระทำได้ เพราะจะเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ทางฝ่ายอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยก็ได้ให้คำตอบแก่ผู้นำไทยว่า “เราไม่อาจให้คำมั่นสัญญายิ่งไปกว่าที่เราพร้อมที่จะปฏิบัติได้ หากเราทำการประกาศฝ่ายเดียวอย่างที่ดิเรก(นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ต้องการ สิ่งที่เราสามารถทำได้มากที่สุดที่จะช่วยเหลือประเทศไทย ก็คือ ป้องกันจังหวัดต่างๆทางตอนใต้ของประเทศไทยเท่านั้น”
คำตอบที่อัครราชทูตของประเทศอังกฤษและอัครราชทูตของสหรัฐอเมริกาให้แก่ผู้นำไทยดังกล่าวข้างต้นเป็นคำตอบที่อัครราชทูตทั้งสองให้โดยที่ยังไม่ได้ปรึกษาขอความเห็นชอบไปทางกระทรวงการต่างประเทศของประเทศตนๆ เพราะจากหลักฐานปรากฏว่ากระทรวงการต่างประเทศของทั้งประเทศอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในระหว่างปรึกษาหารือกันว่าจะทำประกาศอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการปลอบขวัญแก่รัฐบาลของประเทศไทยและคำประกาศที่จะส่งถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจะมีลักษณะเป็นสาส์นส่วนตัวจากประธานาธิบดี รูสเวลท์ แห่งสหรัฐอเมริกา และจากนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิลแห่งประเทศอังกฤษ
สาส์นของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ในสาส์นของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา(ลงวันที่ ๖ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๑)มีข้อความว่า “รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ หากว่าญี่ปุ่นรุกรานประเทศไทย มลายา พม่า หรือ อีสต์ อินดิส มีความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นจะรุกรานประเทศของท่านอย่างฉับพลัน หากท่านถูกโจมตี ขอท่านป้องกันตนเองเถิด เราจะมาช่วยเหลือท่านอย่างเต็มความสามารถและจะปกป้องเอกราชของประเทศของท่าน เมื่อสันติภาพมาถึง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในระหว่างนั้น เว้นเสียแต่ว่าชาวไทยช่วยเหลือชาวญี่ปุ่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษจะทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูความเป็นเอกราชอธิปไตยของประเทศไทยให้กลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์”
สาส์นของนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ
ส่วนในสาส์นของนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิลของประเทศอังกฤษ(ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๑)ที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยมีข้อความในทำนองเดียวกันว่า “มีความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นจะรุกรานประเทศของท่านอย่างฉับพลัน หากว่าท่านถูกโจมตี ขอท่านจงป้องกันตนเองเถิด การปกป้องเอกราชและอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทยเป็นผลประโยชน์ของประเทศอังกฤษ และเราจะถือว่าการโจมตีท่านเป็นการโจมตีเรา”
หลักประกันความมั่นคงจากประเทศสหรัฐอเมริกาละประเทศอังกฤษมาถึงช้า
จากหลักฐานพบว่า สาส์นทั้งของประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาและของนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษได้ยื่นให้แก่จอมพล ป.พิบูลสงครามในวันเดียวกับที่กองทัพประเทศญี่ปุ่นบุกประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาส์นถูกยื่นให้แก่จอมพล ป. พิบูลสงครามภายหลังจากคณะรัฐมนตรีของประเทศไทยได้ตัดสินใจสั่งให้มีการหยุดยิงและยินยอมให้กองทัพของประเทศญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยแล้ว
ดำเนินนโยบายอ้อลู่ลม
ด้วยเหตุนี้ ในห้วงเวลาก่อนที่กองทัพของญี่ปุ่นจะบุกประเทศไทย โดยเฉพาะในวันวิกฤติคือวันที่กองทัพของประเทศญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศไทยพร้อมๆกับการโจมตีที่เพิร์ล ฮาเบอร์ ของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ค.ศ. ค.ศ.๑๙๔๑ ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามมีความเชื่อว่าประเทศอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกาจะไม่มาช่วยไทยในการปกป้องความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดของประเทศไทย จึงได้ตกลงใจยุติการปกป้องนโยบายความเป็นกลางของประเทศไทยและได้หันไปดำเนินนโยบายพึ่งพาประเทศญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจครอบงำเพียงหนึ่งเดียวในภูมิภาคนี้ในห้วงเวลานั้น
นโยบายที่รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามดำเนินในห้วงเวลาต่อมา ก็คือ นโยบายอ้อลู่ลม(Bend with the wind) ซึ่งนโยบายนี้ตั้งอยู่บนฐานของหลักความเชื่อของคนไทยที่ว่า เมื่อเกิดลมพายุพัดมารุนแรง ต้นไผ่ ต้นอ้อและต้นแขมที่ลู่ไปตามกระแสลมแรงจะไม่หักโค่น ส่วนต้นไม้อื่นๆที่แข็งทื่อต้านกับแรงลมบนจะหักโค่น นโยบายอ้อลู่ลมนี้เคยถูกนำมาปฏิบัติโดยผู้นำไทยในหลายยุคหลายสมัย ดังนั้นในการดำเนินนโยบายนี้ หากว่าแรงกดดันและข้อเรียกร้องภายนอกมีความรุนแรงยากที่จะต้านทานด้วยตนเองและปราศจากการช่วยเหลือจากหมู่มิตรภายนอก ผู้ดำเนินนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยไม่มีทางเลี่ยงอย่างอื่นหากแต่จะโอนอ่อนผ่อนตามแรงผลักดันและข้อเรียกร้องจากภายนอกนั้นๆเพื่อความอยู่รอดและเพื่อเอกราชของประเทศไทย
นโยบายอ้อลู่ลมที่ดำเนินโดยรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามไม่ใช่นโยบายที่คิดค้นขึ้นมาใหม่หากทว่าเป็นนโยบายที่ผู้นำไทยในสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และแม้แต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้เคยดำเนินมาแล้ว โดยจะเห็นได้จากที่ผู้นำไทยได้ส่งเครื่องบรรณาการไปให้ประเทศจีนซึ่งเป็นมหาอำนาจครอบงำเพียงหนึ่งเดียวในภูมิภาคนี้ของยุคนั้น เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่เข้าแทรกแซงในกิจการภายในและกิจการภายนอกของประเทศไทยจากประเทศจีน และนโยบายนี้ก็ยังได้ถูกนำมาใช้เมื่อผู้นำไทยต้องการติดต่อกับมหาอำนาจภายนอกภูมิภาคด้วย เช่น ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงยอมเปิดประเทศไทยในช่วงที่การแสวงหาอาณานิคมของประเทศตะวันตกอยู่ในระยะขั้นสูงสุด โดยทรงยินยอมเปิดประเทศ ยอมให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศส ตลอดจนยอมยกดินแดนบางส่วนของประเทศไทยให้แก่ประเทศล่าอาณานิยมทั้งสอง เมื่อได้ทรง ตระหนักว่ายุทธวิธีนำสองประเทศมหาอำนาจมาคานและดุลกันไม่ประสบความสำเร็จ
เป้าหมายของนโยบายอ้อลู่ลม
ในการดำเนินยุทธวิธีการเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นอันเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายอ้อลู่ลมในช่วงเวลาต่อมาของรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีวัตถุประสงค์สำคัญก็เพื่อธำรงเอกราชของประเทศไทย และเพื่อต้องการดินแดนเพิ่มขึ้นในอินโดจีนฝรั่งเศสและอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ยุทธวิธีพันธมิตรนี้สามารถช่วยดำรงเอกราชของประเทศไทยไว้ได้ และช่วยให้ประเทศไทยได้ดินแดนในอาณานิคมของประเทศอังกฤษทั้งในพม่าและในมลายา แต่ไม่สามารถเอื้อประโยชน์ให้ประเทศไทยได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในอินโดจีนฝรั่งเศส
เตรียมหันกลับมาดำเนินนโยบายดุลอำนาจ
จากความผิดหวังที่ไม่ได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในอินโดจีน จึงเป็นแรงกระตุ้นให้จอมพล ป. พิบูลสงครามหันหลังให้กับประเทศญี่ปุ่นและหันกลับมาใช้นโยบายดุลอำนาจ(Balance of power) อีกครั้งหนึ่งโดยจอมพล ป.พิบูลสงครามได้จัดตั้งองค์การเสรีไทยใต้ดินภายในประเทศเพื่อใช้ต่อต้านประเทศญี่ปุ่น และได้ส่งผู้แทนทางทหารของประเทศไทยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในรัฐฉานในพม่า(ซึ่งถูกผนวกเข้ามาเป็นของประเทศไทยโดยความยินยอมของประเทศญี่ปุ่นในระหว่างสงคราม)ไปติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรในประเทศจีน พร้อมกับมีการเตรียมการที่จะย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการต่อต้านกองทัพของประเทศญี่ปุ่น และในขณะเดียวก็มีโครงการสร้างพุทธมณฑลขึ้นที่จังหวัดสระบุรีเพื่อให้เป็นที่หลบภัยของชาวไทยเมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างกองทัพของประเทศไทยกับกองทัพของประเทศญี่ปุ่น แต่ก็รัฐบาลของจอมพล ป.ต้องมาประสบกับปัญหาการเมืองภายใน ถูกลงมติไม่ไว้วางในรัฐสภา และจอมพล ป.พิบูลสงครามต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อเปิดทางให้แก่นายควง อภัยวงศ์จัดตั้งรัฐบาล ที่อยู่ในกำกับของนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทยอีกสายหนึ่ง มาทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินนโยบายต่างประเทศในห้วงเวลาที่เหลือจนสงครามแปซิฟิกยุติลง.
-------
เอกสารอ้างอิง
๑. Thongbai Hongviangchan, The Dynamics of Thai Foreign Policy Towards Indo-china 1938-1950, A thesis submitted for the degree of Master of Philosophy, London School of Economics and Political Science, University of London, 1984.
นโยบายต่างประเทศของไทย
thesis ความขัดแย้ง แก้ปัญหาพรมแดน,เขดแดน ไทย ลาว,กองทัพ นโยบาย ต่างประเทศ,การดำเนินนโยบายการสร้างชาติของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม, จอมพล ป.พิบูล กับนโยบายต่างชาติ,ตัวอย่าง การใช้นโยบายต่างประเทศ,นโยบายการทูตของไทยสมัยสุโขทัย,นโยบายต่างประเทศ ญี่ปุ่น,นโยบายต่างประเทศไทยกับเวียดนาม,นโยบายต่างประเทศไทยอินโดนีเซีย
Monday, June 29, 2009
การดำเนินนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย:การเรียกร้องดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศส
โดย พลเรือตรี รศ.ทองใบ ธีรานันทางกูร
ที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นเรื่องของ “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” เฉพาะในส่วนของนโยบายต่างประเทศ โดยนำนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยต่ออินโดจีน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาเกือบ ๗๐ ปีมาเป็นกรณีศึกษา คำว่า อินโดจีน หมายถึง อินโดจีนฝรั่งเศส อันประกอบด้วยเวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งในขณะนั้นยังตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส รัฐบาลไทยของจอมพล ป.พิบูลสงครามได้เรียกร้องดินแดนคืนทั้งในลาวและกัมพูชา ซึ่งเป็นดินแดนที่ประเทศไทยได้สูญเสียให้แก่ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๐๔ ถึงปี ค.ศ. ๑๙๐๙ รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามประสบความสำเร็จในเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศ กล่าวคือ สามารถได้ดินแดนคืนบางส่วนทั้งในประเทศลาวและประเทศกัมพูชา แม้ว่าดินแดนเหล่านี้จะถูกบังคับให้คืนให้แก่ประเทศฝรั่งเศสในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองแล้วก็ตาม
ในการดำเนินเรื่อง ผู้เขียนจะได้นำเสนอประเด็นสำคัญๆตามลำดับดังนี้
๑) นิยามนโยบายต่างประเทศ
๒) นโยบายต่างประเทศของประเทศไทย
๓) หลักนิยม ๒ อย่างของยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของประเทศไทย
๔) รากเหง้าของนโยบายการเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส
๕) ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นอีกปัจจัยในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย
๖) ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของผู้นำไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
๗)ความสำเร็จของประเทศไทยในการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส
๘) ผลดีของการดำเนินยุทธศาสตร์และยุทธวิธีดุลอำนาจ
๙) เบื้องแรกแค่ขอปรับดินแดนในแม่น้ำโขง
๑๐) สถานการณ์เปลี่ยนและข้อเรียกร้องเปลี่ยนตาม
๑๑)ก่อนเกิดสงครามไม่ประกาศระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส
๑๒) การทูตเชิงรุกของประเทศไทย
๑๓) ความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองภายในกับนโยบายต่างประเทศ
๑๔) การใช้กำลังทหารผสานกับการทูต
๑๕) อนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส
๑๖) ผู้นำไทยพยายามดึงสหภาพโซเวียตมาดุลอำนาจในภูมิภาค
สำหรับข้อมูลที่นำมาใช้สนับสนุนในการนำเสนอครั้งนี้ได้จากวิทยานิพนธ์เรื่อง THE DYNAMICS OF THAI FOREIGN POLICY TOWARDS INDO-CHINA 1938-1950 By THONGBAI HONGVIANGCHAN
๑.นิยามนโยบายต่างประเทศ
คำว่า นโยบายต่างประเทศ เป็นศัพท์บัญญัติ จากภาษาอังกฤษว่า Foreign Policy ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ International Relations Dictionary ของ Jack C. Plano & Roy Olton ได้ให้นิยามนโยบายต่างประเทศไว้ว่า “ยุทธศาสตร์ หรือแผนปฏิบัติการ ที่ถูกพัฒนาโดยผู้มีอำนาจตัดสินใจแห่งรัฐเพื่อใช้ต่อรัฐอื่น หรือองค์การระหว่างประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่นิยามไว้ว่าเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ”
นโยบายต่างประเทศที่ดำเนินการโดยรัฐ อาจเป็นผลมาจากการริเริ่มของรัฐนั้นเองบ้าง หรืออาจจะเป็นปฏิกิริยาต่อการริเริ่มที่ดำเนินการโดยรัฐอื่นบ้าง นโยบายต่างประเทศจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการเชิงพลวัตรของการตีความผลประโยชน์แห่งชาติที่ค่อนข้างจะกำหนดไว้เป็นการแน่นอนแล้ว กับองค์ประกอบทางสถานการณ์ที่เลื่อนไหลไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ของสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติ และใช้ความพยายามในทางการทูตเพื่อให้บรรลุถึงแนวนโยบายให้ได้
๒.นโยบายต่างประเทศของประเทศไทย
กล่าวโดยภาพรวม ประเทศไทย มีประสบการณ์มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นใด ในการปรับตัวทางการเมืองต่อโลกภายนอก เมื่อคนไทยอพยพจากภาคใต้ของจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 9 เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่ในอดีตเรียกว่าสยามนั้น คนไทยได้เอาชนะอาณาจักรเขมรที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมากในภูมิภาคนี้ได้ และในที่สุดก็ได้รวมชนเผ่าไทยตามเมืองต่างๆสถาปนาเป็นประเทศไทยได้สำเร็จอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ในการดำเนินความสัมพันธ์ต่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น ผู้นำไทยชอบที่จะใช้วิธีการทางทหารมากกว่าวิธีการทางการทูต จึงปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าประเทศไทยต้องพ่ายแพ้ต่อประเทศเพื่อนบ้านหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็สามารถกอบกู้เอกราชและอธิปไตยคืนมาในภายหลังได้ พอถึงยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก บรรดาประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยต่างตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ แต่ประเทศไทยสามารถยืนหยัดดำรงเอกราชของชาติและดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศต่างๆในฐานะเป็นประเทศเอกราชและมีอธิปไตยอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง
๓.หลักนิยม ๒ อย่างในยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของประเทศไทย
ในการดำเนินกิจการระหว่างประเทศนั้น ผู้นำไทยได้พัฒนายุทธศาสตร์และยุทธวิธีอันเป็นของตนเองโดยเฉพาะ การดำรงเอกราชของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักร เป็นเป้าหมายอันดับแรกของนโยบายความมั่นคงของประเทศไทย ในการดำรงเอกราชของชาตินั้นผู้นำไทยพยายามจะมีอิสรภาพทางการเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะลดอิทธิพลของมหาอำนาจต่างชาติในประเทศไทยให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในการใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีดังกล่าว ผู้นำไทยได้ใช้หลักนิยมพื้นฐาน 2 อย่างในการดำรงเอกราชและอธิปไตยของชาติ หลักนิยมอย่างแรก ได้แก่ หากมีมหาอำนาจโดดเด่นอยู่เพียงมหาอำนาจเดียวในภูมิภาคนี้ ผู้นำไทยจะใช้วิธีโอนอ่อนผ่อนตามมหาอำนาจนั้น เพราะคนไทยมีความเชื่อว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพายเรือทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และว่า ไม่ควรแข็งทื่อต้านแรงลม เพราะต้นไม้ที่ลู่ลมย่อมไม่หักโค่นเพราะลมแรง อย่างนี้เป็นต้น ความเชื่อของคนไทยนี้ได้ถูกนำมาใช้ในการดำเนินกิจการต่างประเทศของประเทศไทย ผู้นำไทยจะใช้การทูตลู่ตามลมเช่นนี้เมื่อเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของราชอาณาจักไทย ยกตัวอย่างเช่น ผู้นำไทยได้อ้างถึงความชอบธรรมในการที่ประเทศไทยประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษและในขณะเดียวกันก็ได้ให้ความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นในระหว่างสงครามแปซิฟิกว่า เราคนไทยโอนอ่อนเหมือนต้นไผ่แต่เราไม่หักโค่น
หลักนิยมอย่างที่ 2 ที่นำมาใช้เพื่อดำรงเอกราชและอธิปไตยของชาตินั้น ได้แก่ หากในภูมิภาคนี้มีสองมหาอำนาจหรือมากกว่า ผู้นำไทยจะพยายามกระจายการติดต่อทางการเมืองและการทูตให้มีลักษณะหลากหลาย นโยบายสร้างดุลภาพและดึงมหาอำนาจหนึ่งมาคานกับอีกมหาอำนาจหนี่งในความสัมพันธ์กับต่างประเทศเช่นนี้ได้ถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งหรือกลุ่มประเทศใดกลุ่มประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ เพราะฉะนั้น ยุทธิวิธีอันเป็นหลักนิยมอย่างแรกคือการลู่ตามลมและการไม่พายเรือทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ก็จะถูกแทนที่โดยยุทธวิธีการนำมหาอำนาจหนึ่งมาคานและดุลอีกมหาอำนาจหนึ่ง รากเหง้าของแบบแผนทางการทูตเช่นนี้ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจะดึงมหาอำนาจมาช่วยปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยนี้ เป็นสิ่งที่ได้มาจากหลักปฏิบัติในการเมืองภายในของประเทศไทย กล่าวคือ โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่-ผู้น้อยของการเมืองภายในของประเทศไทยได้ถูกนำมาใช้กับความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่-ผู้น้อยในกิจการระหว่างประเทศด้วย
ที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการดำเนินนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยภายใต้
การบริหารของรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑ (ระหว่าง ๑๙๓๘-๑๙๔๔) อันเป็นช่วงที่ผู้นำไทยซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตกลงใจในนโยบายต่างประเทศ ได้ฉกฉวยโอกาสตอนที่ประเทศฝรั่งเศสเกิดความอ่อนแอทั้งทางการเมืองและการทหารในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง และได้ใช้สาเหตุที่ญี่ปุ่นเคลื่อนทัพจากภาคใต้ของประเทศจีนเข้ามาอยู่ทางภาคเหนือของอินโดจีนเพื่อเตรียมการรุกลงใต้ทำการโจมตีผลประโยชน์ของประเทศฝรั่งเศสและของประเทศอังกฤษในเอเชีย มาเป็นข้ออ้างในการดำเนินนโยบายเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนที่เคยสูญเสียให้แก่ฝรั่งเศสคืน และทางผู้นำไทยได้ใช้เครื่องมือทั้งทางการทูตและกำลังทหารเพื่อให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ของนโยบายได้เป็นอย่างดี ถือได้ว่ารัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑ ประสบความสำเร็จในกิจการระหว่างประเทศเป็นอย่างสูง เพราะนอกจากจะสามารถได้ดินแดนบางส่วนที่เคยสูญเสียไปในประเทศลาวและประเทศกัมพูชาคืนจากฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๔๑ แล้ว ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๔๓ ประเทศไทยก็ยังได้ค่าตอบแทนจากการเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นโดยได้รับดินแดน ๒ รัฐฉานของพม่าซึ่งตอนนั้นเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ และดินแดนในแหลมมลายูคือ เคดาห์ เปอร์ลิส กลันตัน และตรังกานู ซึ่งในครั้งนั้นดินแดนเหล่านี้เป็นของประเทศอังกฤษ
อนุสรณ์แห่งความสำเร็จในนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในคราวนั้นก็คือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ยังตั้งตระหง่านให้พวกเราได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน และการดำเนินการทางการทูตและการต่างประเทศของผู้นำไทยในครั้งนั้นก็ยังสะท้อนให้เห็นผลประโยชน์ของไทยที่มีอยู่ยั่งยืนและยาวนานในอินโดจีนอีกด้วย
๔.รากเหง้าของนโยบายการเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส
ที่ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความต้องการดำเนินนโยบายเรียกร้องร้องดินแดนในอินโดจีนฝรั่งเศสคืนจากประเทศฝรั่งเศส ก็ด้วยเหตุผลอย่างน้อย ๓ ประการดังนี้
๑) ประเทศไทยมีผลประโยชน์ในอินโดจีนก็เพราะว่าอินโดจีนมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อประเทศ
ไทย ทั้งนี้เพราะนับเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วอินโดจีนเคยเป็นดินแดนแข่งขันแย่งชิงกันเพื่อผลทางอำนาจและความมั่นคงปลอดภัยระหว่างประเทศไทยกับประเทศเวียดนามตลอดระยะเวลาอันยาวนานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ทั้งประเทศไทยและประเทศเวียดนามต่างแข่งขันกันเพื่อเข้าไปควบคุมประเทศกัมพูลาและประเทศลาว ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศเวียดนามนั้น ผู้นำไทยถือว่าประเทศกัมพูชาและประเทศลาวเป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับความมั่นคงของประเทศไทยต่อประเทศเวียดนาม ความสำคัญของประเทศกัมพูชาและประเทศลาวอยู่ที่ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ กล่าวคือผู้นำไทยมีความเห็นว่าหากประเทศศัตรูของประเทศไทยคือประเทศเวียดนามเข้ามาครอบครองดินแดนของประเทศลาวและประเทศกัมพูชาก็จะเป็นภัยคุกคามต่อเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยเมื่อนั้น ดังนั้น นอกเหนือจากประเทศพม่าแล้วอินโดจีนจึงเป็นกุญแจดอกสำคัญต่อผลประโยชน์แห่งชาติทางความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไทยในภูมิภาคนี้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติของดุลอำนาจ (balance of power) ผู้นำไทยมีความสนใจที่เข้าควบคุมประเทศลาวและประเทศกัมพูชา หรือหากควบคุมไม่ได้ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งผู้นำไทยจะไม่ยอมให้สองประเทศนี้ตกไปอยู่ในความครอบครองของประเทศที่สามที่จะเข้ามาสถาปนาความยิ่งใหญ่ในอินโดจีน
๒) ประเทศไทยมีผลประโยชน์ในอินโดจีนก็เพราะประชากรของทั้งประเทศลาวและประเทศกัมพูชามี
เผ่าพันธุ์ ศาสนา และภาษาเหมือนหรือคล้ายกับประชากรของประชากรของประเทศไทย โดยเฉพาะประชากรของประเทศลาวมีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกับของประชากรของประเทศไทยทั้งในด้านเผ่าพันธุ์และด้านศาสนา ส่วนประชากรของประเทศกัมพูชามีความเชื่อมโยงผูกพันกับประชากรของประเทศไทยทางด้านศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม แต่ประชากรของทั้งประเทศลาวและประเทศกัมพูชามิได้มีความผูกพันทางด้านภาษาหรือทางด้านศาสนากับประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ก็เพราะประชากรของประเทศเวียดนามนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบประเทศจีนมิใช่นิกายหีนยาน ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำไทยก็ยังมีความเชื่อว่าทั้งประเทศลาวและประเทศกัมพูชาก็ยังขาดแคลนท่าเรือและเส้นทางคมนาคมขนส่งจึงจะไม่สามารถดำรงเอกราชของตนไว้ได้ แต่จะถูกผนวกโดยประเทศไทยหรือประเทศเวียดนาม แต่เนื่องจากประชากรของทั้งประเทศลาวและประเทศกัมพูชามีเผ่าพันธุ์ ศาสนา วิถีชีวิต และเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประชากรของประเทศไทย ประเทศลาวและประเทศกัมพูชาจึงน่าจะหันมาทางประเทศไทยยิ่งกว่าจะหันไปทางประเทศเวียดนาม ด้วยการมีทัศนะเช่นนี้ผู้นำไทยในอดีตจึงสนใจที่จะผนวกประเทศลาวและประเทศกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเพื่อป้องกันมิให้ศัตรูของประเทศไทยเข้ามาใช้ประเทศลาวและประเทศกัมพูชาสถาปนาตนเองครอบงำภูมิภาคส่วนนี้ แต่ถ้าหากเป้าหมายหลักข้างต้นไม่สามารถบรรลุได้ผู้นำไทยก็หวังที่จะให้ประเทศลาวและประเทศกัมพูชาดำรงเป็นดินแดนกันชน(buffer zone) ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเวียดนาม หรือประเทศที่สามอื่นใดที่เข้ามามีอิทธพลในภูมภาคส่วนนี้
๓) ผลประโยชน์ของประเทศไทยในอินโดจีนถูกกระตุ้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงปลาย
คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เมื่อประเทศฝรั่งเศสได้เข้ามาเป็นมหาอำนาจครอบงำในอินโดจีน ซึ่งในช่วงดังกล่าวประเทศไทยได้สูญเสียดินแดนทั้งในประเทศลาวและประเทศกัมพูชาให้แก่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ และปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ทางผู้นำไทยมีความเห็นว่า ดินแดนในประเทศลาวและในประเทศกัมพูชาที่ประเทศฝรั่งเศสได้ไปจากประเทศไทยโดยใช้กำลังบังคับหรือไม่ก็โดยข่มขู่คุกคามด้วยกำลัง ดังนั้นประเทศไทยจึงมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องดินแดนที่สูญเสียไปนั้นกลับคืนมา
๕.ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอีกเป็นปัจจัยในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย
เมื่อก่อนจะเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสในกรณีของอินโดจีนในครั้งนี้
แนวนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อประเทศญี่ปุ่นก้าวขึ้นสู่ฐานะของ
มหาอำนาจเอเชีย ผู้นำไทยให้การยอมรับโดยพฤตินัยว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของเอเชีย ส่วนประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสถูกมองว่าเป็นมหาอำนาจอันดับสอง ผู้นำไทยได้ใช้ปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงทางดุลอำนาจของมหาอำนาจนี้ทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เพราะก่อนหน้านี้นโยบายต่างประเทศเดิมของประเทศไทยถูกสร้างและดำเนินมาโดยอาศัยสมมติฐานว่าประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของเอเชีย เมื่อปัจจัยทางดุลอำนาจของมหาอำนาจเปลี่ยนแปลงไป นโยบายต่างประเทศของไทยก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงฐานะของประเทศญี่ปุ่นด้วย
การปรับแต่งนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยในทิศทางข้างต้นได้เริ่มบังเกิดขึ้นในระหว่างกลาง
คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ถึง ค.ศ. ๑๙๓๓ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวในการเมืองระดับโลกและในระดับภูมิภาคประเทศอังกฤษกลายเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งส่วนประเทศฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจอันดับสอง ประเทศไทยซึ่งสามารถดำรงเอกราชของชาติไว้ได้เพราะความสามารถในการสร้างดุลอำนาจระหว่างมหาอำนาจทั้งสองนี้ ก็ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายภายในประเทศเพื่อให้เป็นไปในทิศทางของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งคือประเทศอังกฤษ โดยทางรัฐบาลไทยได้ส่งนักเรียนไทยไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ระบบการศึกษาของประเทศไทยเป็นแบบเดียวกับของประเทศอังกฤษ การขาดแคลนตำราในภาษาไทยทำให้นักเรียนไทยใช้ตำราภาษาอังกฤษทั้งในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัย ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองที่ผู้มีการศึกษานำมาใช้ นอกจากนั้นแล้วนโยบายทางการคลังและผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศไทยก็ยังเอนเอียงไปทางประเทศอังกฤษ
ก่อน ค.ศ. ๑๙๔๐รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในตอนแรกก็ได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ
ดุลอำนาจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แต่พอหลังเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ ได้เปลี่ยนแปลงมาดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบดุลอำนาจระหว่างประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส และประเทศญี่ปุ่น โดยมีประเทศญี่ปุ่นถูกนำเข้ามาเป็นประเทศที่สาม การลงนามในสนธิสัญญา ๓ ฉบับเมื่อปีวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ อาจจะนำมาอ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยนี้ได้ แต่เพื่อให้การดำเนินนโยบายเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนคืนของประเทศไทยบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้นำไทยในรัฐบาลจอมพล ป. ได้ตกลงใจว่าในบรรดา ๓ ชาติมหาอำนาจดังกล่าว การมีความเข้าใจอันดีกับประเทศญี่ปุ่นจะเกิดผลประโยชน์แก่ประเทศไทยมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ทางผู้นำไทยจึงยอมรับข้อเรียกร้องทุกอย่างของญี่ปุ่นก่อนที่จะได้ลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น ในวันเดียวกันประเทศไทยก็ได้ลงนามในสัญญาไม่รุกรานกัน(Non-aggression Pact) กับทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส
๖.ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของผู้นำไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยต่ออินโดจีนในช่วงเวลาระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๓๘ ถึงปี ค.ศ.
๑๙๔๔ ผู้นำในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีแนวความคิดเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองและผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในอินจีนเช่นเดียวกับของผู้นำไทยในรุ่นก่อนหน้า ยิ่งไปกว่านั้นในการมีความสัมพันธ์กับประเทศที่อยู่ในภูมิภาคและประเทศที่อยู่ภายนอกภูมิภาครัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามก็ได้สืบสานแนวปฏิบัติดั้งเดิมของไทยในเรื่องการดุลอำนาจ ซึ่งในแง่ของนโยบายต่างประเทศก็หมายถึงการป้องกันมิให้ประเทศหนึ่งประเทศใดที่เข้ามาแข่งขันแสวงหาอำนาจในภูมิภาคนี้มีอำนาจครอบงำประเทศไทยโดยใช้วิธีการสร้างดุลอำนาจ ยุทธวิธีดุลอำนาจนี้ก็ยังหมายถึงการพยายามดึงประเทศหนึ่งมาคานและดุลอำนาจของอีกประเทศหนึ่งเพื่อเป้าหมายสำคัญคือการดำรงเอกราชและอธิปไตยของประเทศไทยและในขณะเดียวกันก็สามารถปกป้องผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในอินโดจีนไปพร้อมๆกันด้วย
๗.ความสำเร็จของไทยในการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส
ที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในนโยบายต่างประเทศในอินโดจีนครั้งนี้ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากความ
พยายามของรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามที่ได้ดึงเอาประเทศญี่ปุ่นให้มาสนับสนุนนโยบายเรียกร้องดินแดนคืนนั่นเอง ดังนั้นนโยบายต่างประเทศของไทยที่เคยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสสองเจ้าอาณานิคมเพื่อนบ้านก็ได้เปลี่ยนแปลงโดยนำเอาประเทศที่สามคือญี่ปุ่นมาใช้ในยุทธวิธีคานและดุลอำนาจด้วย จากการศึกษาได้พบว่าผู้นำไทยของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามได้ดำเนินการใช้มหาอำนาจทั้งสามคานและดุลกันอย่างชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามสามารถแสวงหาผลประโยชน์ในอินโดจีนจากการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในภูมิภาคโดยประเทศที่สูญเสียผลประโยชน์ให้ประเทศไทยมากที่สุดคือประเทศฝรั่งเศส
๘.ผลดีของการดำเนินยุทธศาสตร์และยุทธวิธีดุลอำนาจ
เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน(Non-aggression Pact) กับประเทศอังกฤษและ
ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๔๐ และสนธิสัญญามิตรภาพ(Treaty of Friendship) ในวันเดียวกันกับประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามสามารถสร้างดุลอำนาจระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามก็ฉกฉวยโอกาสในช่วงที่ประเทศฝรั่งเศสอ่อนแอแสวงหาประโยชน์เรียกร้องดินแดนที่เคยสูญเสียในอินโดจีนคืนจากประเทศ ในการเจรจาสนธิสัญญาการไม่รุกรานกันกับประเทศฝรั่งเศสนั้น รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้หาประโยชน์จากท่าทีมิตรภาพของประเทศอังกฤษโดยนำมาใช้เป็นเครื่องมือบีบประเทศฝรั่งเศสให้ยินยอมผ่อนปรนตามข้อเรียกร้องของประเทศไทยอีกทอดหนึ่ง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ใช้กลยุทธ์ดึงศัตรูสองประเทศมาคานและดุลอำนาจกัน ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้มีความเป็นไปได้อย่างสูงก็เนื่องจากญี่ปุ่นในขณะนั้นกำลังดำเนินนโยบายรุกรานดินแดนทางด้านใต้ของประเทศจีน สอดประสานกับการเกิดขบวนการชาตินิยมและขบวนการเรียกร้องดินแดนคืน และขบวนการสร้างความยิ่งใหญ่ของประเทศไทยขึ้นในหมู่ของคนไทย ปัจจัยทั้งที่เป็นภายในและที่เป็นภายนอกเหล่านี้ ล้วนประกอบกันเป็นพลังสามารถเป็นสิ่งท้าทายสถานะทางการเมืองของทั้งประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสในเอเชียให้สั่นคลอนได้ ก็จึงทำให้มหาอำนาจทั้งสองต้องยินยอมผ่อนปรนให้เป็นไปตามความต้องการของประเทศไทย
๙.เบื้องแรกแค่ขอปรับดินแดนในแม่น้ำโขง
ในเบื้องแรก ประเทศไทยได้ความยินยอมจากประเทศฝรั่งเศสโดยมีข้อตกลงให้มีการปรับพรมแดนตามลำน้ำโขง โดยข้อตกลงนี้ปรากฏอยู่ในจดหมายลับที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับเจ้าหน้าฝรั่งเศสเมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันในวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ สาระสำคัญของจดหมายลับดังกล่าวมีข้อความยืนยันว่าฝรั่งเศสยินยอมที่จะปรับปรุงพรมแดนตามแม่น้ำโขงให้เป็นตามแนวร่องน้ำลึก(talweg)และให้การรับรองว่าดินแดนที่อยู่ทางตะวันตกของร่องน้ำลึก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บรรดาเกาะแก่งใดๆที่อยู่ใกล้ฝั่งของประเทศไทยก็ให้เป็นของประเทศไทยเพื่อความสะดวกในการบริหารแต่ทั้งนี้ประเทศไทยยังให้การรับรองว่าบรรดาเกาะใหญ่ๆทั้งหมดยังเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศสอยู่ต่อไป
๑๐.สถานการณ์เปลี่ยนและข้อเรียกร้องเปลี่ยนตาม
แต่พอฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงครามในยุโรปในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ สถานการณ์การเรียกร้องดินแดนคืนในอินโดจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที ผู้นำไทยของรัฐบาลจอมพล ป. ต้องการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส โดยผู้นำไทยประกาศว่ายังไม่พอใจกับสิ่งที่ประเทศไทยจะพึงได้จากข้อตกลงในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส ข้อตกลงตลอดจนจดหมายลับที่ให้ไว้ต่อกันในวันลงนามในสนธิสัญญาให้คำมั่นที่จะให้ดินแดนแก่ประเทศไทยน้อยเกินไปสุดที่ขบวนการเรียกร้องดินแดนคืนจะยอมรับได้
ผู้นำไทยอ้างเหตุที่ญี่ปุ่นเคลื่อนทัพเข้ามาอยู่ในภาคเหนือของอินโดจีนเป็นข้ออ้างเพื่อขยายข้อเรียกร้องของฝ่ายประเทศไทย กล่าวคือทางรัฐบาลจอมพล ป. ต้องการประเทศกัมพูชาและประเทศลาวทั้งประเทศอันรวมถึงดินแดนส่วนต่างๆของดินแดนที่ฝรั่งเศสได้ไปจากประเทศไทยระหว่างปี ค.ศ. ๑๘๖๗ ถึง ค.ศ. ๑๙๐๗ ความต้องการของผู้นำไทยที่ต้องผนวกประเทศกัมพูชาและประเทศลาวนี้ก็เพราะถูกกระตุ้นจากความกลัวว่าประเทศไทยจะเกิดความขัดแย้งกับประเทศเวียดนามอีกครั้งหนึ่ง หรือเกิดจากความต้องการที่จะมิให้ประเทศเวียดนามหรือประเทศญี่ปุ่นเข้าครอบครองประเทศลาวและประเทศกัมพูชาอันจะนำไปสู่การคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศไทย ทัศนะของผู้นำในรัฐบาลจอมพล ป. สะท้อนให้เห็นการคำนึงถึงผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในอินโนจีนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานและถูกกระตุ้นจากประสบการณ์ที่ประเทศไทยเคยมีมาในอดีตทั้งกับประเทศเวียดนามและประเทศฝรั่งเศสในช่วงก่อนหน้านี้
๑๑.ก่อนสงครามไม่ประกาศระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส
ความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของผู้นำไทยที่จะดำเนินนโยบายเรียกร้องดินแดนคืนให้บรรลุผลจงได้นี้ได้นำไปสู่วิกฤตการณ์ตามพรมแดนอินโดจีนฝรั่งเศสและประเทศไทยและนำไปสู่สงครามระหว่างกันในช่วงเวลาสั้นๆอันส่งผลให้ประเทศไทยได้ดินแดนในลาวและกัมพูชาซึ่งประเทศไทยได้สูญเสียแก่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ และปี ค.ศ. ๑๙๐๗ จากเหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกนับแต่ยุคล่าอาณานิยมของชาวตะวันตกว่าผู้นำไทยได้ใช้ทั้งการทูตและกำลังทหารเป็นเครื่องมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศ โดยในช่วงแรกรัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป.ได้ทำการเจรจากับประเทศฝรั่งเศสโดยตรง ครั้นประสบความล้มเหลวไม่สามารถชักนำให้ประเทศฝรั่งเศสยินยอมตามข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยได้ รัฐบาลไทยก็ได้ใช้การทูตในเชิงรุกโดยการทูตเชิงรุกนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงมหาอำนาจอื่นๆให้มาสนใจในข้อเรียกร้องของประเทศไทย มหาอำนาจเหล่านี้ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเยอรมนี และประเทศอิตาลี รัฐบาลไทยได้รับการตอบรับเชิงเห็นอกเห็นใจจากประเทศญี่ปุ่น ประเทศเยอรมนี และประเทศอิตาลีซึ่งฝ่ายประเทศไทยได้ใช้คานและดุลกับท่าทีที่ไม่เป็นมิตรและไม่เห็นด้วยของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษต้องการให้ดำรงสถานภาพเดิม(status quo)เอาไว้ในอินโดจีน กระนั้นก็ดีขณะที่สหรัฐอเมริกายืนหยัดในหลักการสถานภาพเดิมอย่างแข็งขัน แต่ประเทศอังกฤษกลับมีท่าทียืดหยุ่นในหลักการสถานภาพเดิม
๑๒.การทูตเชิงรุกของประเทศไทย
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมภายนอกที่อยู่ในลักษณะคานและดุลอำนาจดังกล่าว ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป. จึงได้โอกาสใช้กลยุทธ์ดึงมหาอำนาจหนึ่งมาคานและดุลอีกมหาอำนาจหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย กลยุทธ์นี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อตอนที่รัฐบาลจอมพล ป. พิปูลสงครามส่งคณะผู้แทนของประเทศไทยที่เรียกว่าคณะทูตสันถวไมตรี (Special Goodwill Missions) ไปยังมหาอำนาจต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทูตของประเทศไทยในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือคณะผู้แทนทูตสันถวไมตรี (Special Goodwill Mission) ที่เดินทางไปยังกรุงฮานอย และกรุงโตเกียว ที่นำคณะโดย พันเอก หลวงพรหมโยธี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้ปฏิบัติการการทูตเชิงรุกในครั้งนี้ แต่ผู้แทนคณะนี้ไม่ประสบความสำเร็จในการชักนำให้ประเทศฝรั่งเศสยอมรับข้อเสนอของประเทศไทยว่าประเทศไทยจะร่วมมือกับประเทศฝรั่งเศสต่อต้านการรุกรานของประเทศญี่ปุ่นในอินโดจีนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ประเทศฝรั่งเศสจะยกดินแดนที่อยู่ทางหลวงพระบางและปากเซแก่ประเทศไทย เมื่อคณะทูตสันถวไมตรีคณะนี้เดินทางไปถึงกรุงโตเกียวในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๔๐ ได้สร้างความวิตกกังวลให้แก่รัฐบาลของประเทศอังกฤษเป็นอย่างมากเพราะเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างงประเทศอังกฤษมีความหวั่นเกรงว่าทางคณะผู้แทนไทยคณะนี้จะเจรจายินยอมรับข้อเรียกร้องทางการทหารของประเทศญี่ปุ่นที่ต้องการตั้งฐานทัพอากาศและฐานทัพเรือในดินแดนของประเทศไทย ทางประเทศอังกฤษจึงได้แสดงท่าทีออกมาว่ามีความเห็นชอบที่ทางประเทศไทยจะขอดินแดนที่อยู่ทางหลวงพระบางและปากเซจากประเทศฝรั่งเศส แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถใช้ชั้นเชิงทางการทูตจนสามารถได้ความเห็นใจจากประเทศอังกฤษ แต่ประเทศไทยก็ไม่สามารถได้ดินแดนเหล่านี้โดยการเจรจาโดยตรงกับประเทศฝรั่งเศสได้ ทั้งประเทศอังกฤษก็ไม่สามารถช่วยประเทศไทยให้ได้ดินแดนเหล่านี้ได้ ในขณะเดียวกันนั้นทางประเทศไทยก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนะที่แข็งขันและไม่ยืดหยุ่นของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องการคงสถานภาพเดิมในอินโดจีนได้สำเร็จ
๑๓.ความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองภายในกับนโยบายต่างประเทศ
เมื่อการทูตเชิงรุกของรัฐบาลของจอมพล ป. แสดงที ท่าว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในนโยบายเรียกร้องดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศสเช่นนี้เสียแล้ว ทางกองทัพบกและกองทัพเรือของไทยก็ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจอมพล ป. และได้มีสิ่งบอกเหตุปรากฏออกมาว่าทางกองทัพบกและกองทัพเรือจะบีบบังคับให้จอมพล ป.ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากจอมพล ป.ต้องถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจริง ผู้ที่กองทัพบกและกองทัพเรือจะเลือกให้เข้ามารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแทนจอมพล ป. ก็คือ พลเรือโท สินธุ์ สงครามชัย ผู้บัญชาการทหารเรือ หรือไม่ก็พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยสถานการณ์บีบบังคับทางการเมืองภายในดังกล่าว จอมพล ป. ซึ่งต้องการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ก็ได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น จอมพล ป. จึงได้ให้คำมั่นสัญญาด้วยวาจากับผู้ช่วยทูตทหารญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๐ ว่าทางประเทศไทยจะไม่ดำเนินนโยบายเป็นกลาง(neutrality)แต่จะยอมให้ญี่ปุ่นใช้ดินแดนของประเทศไทยเพื่อเป็นทางผ่านไปโจมตีแหลมมลายูและพม่า ทั้งนี้ทางประเทศไทยขอให้ญี่ปุ่นช่วยเหลือสนับสนุนให้ประเทศไทยได้ดินแดนในอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส แต่เพื่อให้เกิดการคานและดุลอำนาจกับข้อตกลงทางวาจาที่ให้ไว้กับประเทศญี่ปุ่นดังกล่าว จอมพล ป. ได้พยายามที่จะใช้ประเทศอังกฤษเป็นมหาอำนาจคานและดุลประเทศญี่ปุ่น จากหลักฐานปรากฏว่า ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา จอมพล ป. ได้ส่งพันเอก หลวงขาบกุญชร เป็นผู้แทนลับไปยังสิงคโปร์เพื่อแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ทางทหารของอังกฤษที่นั่นว่า ประเทศไทยจะทำการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นหากประเทศญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยไปโจมตีมลายาและพม่า
๑๔.การใช้กำลังทหารผสานกับการทูต
เมื่อเชื่อว่าสามารถสร้างดุลอำนาจในชั้นนี้ได้สำเร็จแล้ว จอมพล ป. ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพภายในประเทศเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือของนโยบายเรียกร้องดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๔๐ สงครามไม่ประกาศ(undeclared war)ระหว่างประเทศไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสก็ได้ระเบิดขึ้น ประเทศฝรั่งเศสเสียเปรียบในสงครามครั้งนี้เพราะไม่สามารถเสริมกำลังพลจากดินแดนส่วนอื่นของฝรั่งเศสมาได้ทัน ก่อนที่ประเทศญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงทางการทูตเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ค.ศ. ๑๙๔๑ กองบัญชาการทหารสูงสุดไทยประกาศว่า กองทัพไทยสามารถยึดพื้นที่หลวงพระบางด้านประเทศลาวที่ประเทศไทยเคยสูญเสียแก่ฝรั่งเศสได้ทั้งหมดและพื้นที่ในกัมพูชาจากพรมแดนประเทศไทยลึกเข้าไปในกัมพูชาถึง ๔๐ กิโลเมตร เสื่อมวลชนไทยต่างประโคมข่าวรายงานว่า ดินแดนประเทศลาวและประเทศกัมพูชาทั้งประเทศจะถูกทหารไทยยึดได้ทั้งหมดหากประเทศญี่ปุ่นไม่มาแทรกแซงการรบในครั้งนี้เสียก่อน
๑๕.อนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส
ตามข้อตกลงใน อนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส(Franco-Thai Peace Convention) ฉบับวันที่ ๙ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ ประเทศไทยได้เพียงดินแดนส่วนหนึ่งในประเทศลาวและประเทศกัมพูชาน้อยกว่าที่ประเทศไทยเรียกร้องมาก และก็น้อยกว่าที่กองทัพไทยสามารถยึดได้เสียอีก ดินแดนที่ได้คืนมานั้นเป็นแค่ส่วนเสี้ยวของดินแดนที่ประเทศไทยเคยสูญเสียแก่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ และปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ยิ่งไปกว่านั้นทางประเทศไทยยังตกลงที่จะจัดตั้งเขตปลอดทหารและจ่ายเงินชดเชยความเสียหายแก่ประเทศฝรั่งเศสเสียอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นในหมู่ของผู้นำไทยว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นศัตรูยิ่งกว่าจะเป็นมิตรของไทย ความรู้สึกนี้เกิดจากที่ผู้นำไทยไม่พอใจในบทบาทของประเทศญี่ปุ่นในฐานะเข้ามาเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยและต่อมาได้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลเหนือประเทศไทยทั้งทางด้านการเมืองและทางด้านเศรษฐกิจ
๑๖.ผู้นำไทยพยายามดึงสหภาพโซเวียตมาสนใจประเทศไทย
จากการที่ผู้นำไทยในรัฐบาลจอมพล ป.ไม่พอใจบทบาทของญี่ปุ่นในช่วงไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทและการไม่ไว้ใจประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามามีอิทธิพลบีบบังคับประเทศไทยในหลายด้านหลังสงครามอินโดจีนนี่เอง ได้นำไปสู่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหภาพโซเวียต ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ถูกตัดขาดหลังจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำการโค่นล้มพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟและประเทศสหภาพโซเวียตมีการปกครองตามระบอบคอมมิวนิสต์ ที่ผู้นำไทยริเริ่มทางการทูตครั้งนี้ก็เพราะมีความตั้งใจจะใช้ประเทศสหภาพโซเวียต(ร่วมกับประเทศอังกฤษ) เพื่อถ่วงดุลอำนาจของประเทศญี่ปุ่นในเอเชีย จากหลักฐานปรากฏว่า ขณะที่พันเอก ประยูร ภมรมนตรี หัวหน้าคณะทูตสันถวไมตรีที่ส่งไปเยือนประเทศต่างๆในยุโรปอยู่ในกรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมี ก็ได้รับคำสั่งจากจอมพล ป. ให้รีบเดินทางไปที่กรุงมอสโกเพื่อเจรจาทำสนธิสัญญากับประเทศสหภาพโซเวียต ผลของการเจรจาในครั้งนี้ทำให้มีการประกาศการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางด้านการทูตและการค้าระหว่างประเทศไทยและประเทศสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๑๙๔๑ ซึ่งเป็นช่วงแค่หนึ่งวันหลังจากมีการลงนามข้อตกลงทางพรมแดนด้านอินโดจีนระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสที่กรุงโตเกียว
เรื่องที่นำมาเสนอข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหรือกรณีศึกษา ของการดำเนินนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอินโดจีนฝรั่งเศส ในช่วงระยะแรกของการบริหารประเทศของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเท่านั้น หากมีโอกาสผู้เขียนจะได้นำเสนอฉากอื่นๆของนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยในช่วงอื่นๆต่อไป.
-----------------------
เอกสารอ้างอิง
๑.Jack C. Plano & Roy Olton, The International Relations Dictionary, Third Edition, ABC-CLIO, 1982.
๒.Thongbai Honviangchan, THE DYNAMICS OF THAI FOREIGN POLICY TOWARDS INDO-CHINA 1938-1950, A thesis submitted for the degree of Master of Philosophy, The London School of Economics and Political Science, University of London,1984.
ที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นเรื่องของ “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” เฉพาะในส่วนของนโยบายต่างประเทศ โดยนำนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยต่ออินโดจีน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาเกือบ ๗๐ ปีมาเป็นกรณีศึกษา คำว่า อินโดจีน หมายถึง อินโดจีนฝรั่งเศส อันประกอบด้วยเวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งในขณะนั้นยังตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส รัฐบาลไทยของจอมพล ป.พิบูลสงครามได้เรียกร้องดินแดนคืนทั้งในลาวและกัมพูชา ซึ่งเป็นดินแดนที่ประเทศไทยได้สูญเสียให้แก่ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๐๔ ถึงปี ค.ศ. ๑๙๐๙ รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามประสบความสำเร็จในเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศ กล่าวคือ สามารถได้ดินแดนคืนบางส่วนทั้งในประเทศลาวและประเทศกัมพูชา แม้ว่าดินแดนเหล่านี้จะถูกบังคับให้คืนให้แก่ประเทศฝรั่งเศสในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองแล้วก็ตาม
ในการดำเนินเรื่อง ผู้เขียนจะได้นำเสนอประเด็นสำคัญๆตามลำดับดังนี้
๑) นิยามนโยบายต่างประเทศ
๒) นโยบายต่างประเทศของประเทศไทย
๓) หลักนิยม ๒ อย่างของยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของประเทศไทย
๔) รากเหง้าของนโยบายการเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส
๕) ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นอีกปัจจัยในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย
๖) ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของผู้นำไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
๗)ความสำเร็จของประเทศไทยในการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส
๘) ผลดีของการดำเนินยุทธศาสตร์และยุทธวิธีดุลอำนาจ
๙) เบื้องแรกแค่ขอปรับดินแดนในแม่น้ำโขง
๑๐) สถานการณ์เปลี่ยนและข้อเรียกร้องเปลี่ยนตาม
๑๑)ก่อนเกิดสงครามไม่ประกาศระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส
๑๒) การทูตเชิงรุกของประเทศไทย
๑๓) ความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองภายในกับนโยบายต่างประเทศ
๑๔) การใช้กำลังทหารผสานกับการทูต
๑๕) อนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส
๑๖) ผู้นำไทยพยายามดึงสหภาพโซเวียตมาดุลอำนาจในภูมิภาค
สำหรับข้อมูลที่นำมาใช้สนับสนุนในการนำเสนอครั้งนี้ได้จากวิทยานิพนธ์เรื่อง THE DYNAMICS OF THAI FOREIGN POLICY TOWARDS INDO-CHINA 1938-1950 By THONGBAI HONGVIANGCHAN
๑.นิยามนโยบายต่างประเทศ
คำว่า นโยบายต่างประเทศ เป็นศัพท์บัญญัติ จากภาษาอังกฤษว่า Foreign Policy ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ International Relations Dictionary ของ Jack C. Plano & Roy Olton ได้ให้นิยามนโยบายต่างประเทศไว้ว่า “ยุทธศาสตร์ หรือแผนปฏิบัติการ ที่ถูกพัฒนาโดยผู้มีอำนาจตัดสินใจแห่งรัฐเพื่อใช้ต่อรัฐอื่น หรือองค์การระหว่างประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่นิยามไว้ว่าเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ”
นโยบายต่างประเทศที่ดำเนินการโดยรัฐ อาจเป็นผลมาจากการริเริ่มของรัฐนั้นเองบ้าง หรืออาจจะเป็นปฏิกิริยาต่อการริเริ่มที่ดำเนินการโดยรัฐอื่นบ้าง นโยบายต่างประเทศจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการเชิงพลวัตรของการตีความผลประโยชน์แห่งชาติที่ค่อนข้างจะกำหนดไว้เป็นการแน่นอนแล้ว กับองค์ประกอบทางสถานการณ์ที่เลื่อนไหลไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ของสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติ และใช้ความพยายามในทางการทูตเพื่อให้บรรลุถึงแนวนโยบายให้ได้
๒.นโยบายต่างประเทศของประเทศไทย
กล่าวโดยภาพรวม ประเทศไทย มีประสบการณ์มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นใด ในการปรับตัวทางการเมืองต่อโลกภายนอก เมื่อคนไทยอพยพจากภาคใต้ของจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 9 เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่ในอดีตเรียกว่าสยามนั้น คนไทยได้เอาชนะอาณาจักรเขมรที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมากในภูมิภาคนี้ได้ และในที่สุดก็ได้รวมชนเผ่าไทยตามเมืองต่างๆสถาปนาเป็นประเทศไทยได้สำเร็จอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ในการดำเนินความสัมพันธ์ต่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น ผู้นำไทยชอบที่จะใช้วิธีการทางทหารมากกว่าวิธีการทางการทูต จึงปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าประเทศไทยต้องพ่ายแพ้ต่อประเทศเพื่อนบ้านหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็สามารถกอบกู้เอกราชและอธิปไตยคืนมาในภายหลังได้ พอถึงยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก บรรดาประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยต่างตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ แต่ประเทศไทยสามารถยืนหยัดดำรงเอกราชของชาติและดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศต่างๆในฐานะเป็นประเทศเอกราชและมีอธิปไตยอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง
๓.หลักนิยม ๒ อย่างในยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของประเทศไทย
ในการดำเนินกิจการระหว่างประเทศนั้น ผู้นำไทยได้พัฒนายุทธศาสตร์และยุทธวิธีอันเป็นของตนเองโดยเฉพาะ การดำรงเอกราชของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักร เป็นเป้าหมายอันดับแรกของนโยบายความมั่นคงของประเทศไทย ในการดำรงเอกราชของชาตินั้นผู้นำไทยพยายามจะมีอิสรภาพทางการเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะลดอิทธิพลของมหาอำนาจต่างชาติในประเทศไทยให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในการใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีดังกล่าว ผู้นำไทยได้ใช้หลักนิยมพื้นฐาน 2 อย่างในการดำรงเอกราชและอธิปไตยของชาติ หลักนิยมอย่างแรก ได้แก่ หากมีมหาอำนาจโดดเด่นอยู่เพียงมหาอำนาจเดียวในภูมิภาคนี้ ผู้นำไทยจะใช้วิธีโอนอ่อนผ่อนตามมหาอำนาจนั้น เพราะคนไทยมีความเชื่อว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพายเรือทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และว่า ไม่ควรแข็งทื่อต้านแรงลม เพราะต้นไม้ที่ลู่ลมย่อมไม่หักโค่นเพราะลมแรง อย่างนี้เป็นต้น ความเชื่อของคนไทยนี้ได้ถูกนำมาใช้ในการดำเนินกิจการต่างประเทศของประเทศไทย ผู้นำไทยจะใช้การทูตลู่ตามลมเช่นนี้เมื่อเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของราชอาณาจักไทย ยกตัวอย่างเช่น ผู้นำไทยได้อ้างถึงความชอบธรรมในการที่ประเทศไทยประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษและในขณะเดียวกันก็ได้ให้ความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นในระหว่างสงครามแปซิฟิกว่า เราคนไทยโอนอ่อนเหมือนต้นไผ่แต่เราไม่หักโค่น
หลักนิยมอย่างที่ 2 ที่นำมาใช้เพื่อดำรงเอกราชและอธิปไตยของชาตินั้น ได้แก่ หากในภูมิภาคนี้มีสองมหาอำนาจหรือมากกว่า ผู้นำไทยจะพยายามกระจายการติดต่อทางการเมืองและการทูตให้มีลักษณะหลากหลาย นโยบายสร้างดุลภาพและดึงมหาอำนาจหนึ่งมาคานกับอีกมหาอำนาจหนี่งในความสัมพันธ์กับต่างประเทศเช่นนี้ได้ถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งหรือกลุ่มประเทศใดกลุ่มประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ เพราะฉะนั้น ยุทธิวิธีอันเป็นหลักนิยมอย่างแรกคือการลู่ตามลมและการไม่พายเรือทวนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ก็จะถูกแทนที่โดยยุทธวิธีการนำมหาอำนาจหนึ่งมาคานและดุลอีกมหาอำนาจหนึ่ง รากเหง้าของแบบแผนทางการทูตเช่นนี้ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจะดึงมหาอำนาจมาช่วยปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยนี้ เป็นสิ่งที่ได้มาจากหลักปฏิบัติในการเมืองภายในของประเทศไทย กล่าวคือ โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่-ผู้น้อยของการเมืองภายในของประเทศไทยได้ถูกนำมาใช้กับความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่-ผู้น้อยในกิจการระหว่างประเทศด้วย
ที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการดำเนินนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยภายใต้
การบริหารของรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑ (ระหว่าง ๑๙๓๘-๑๙๔๔) อันเป็นช่วงที่ผู้นำไทยซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตกลงใจในนโยบายต่างประเทศ ได้ฉกฉวยโอกาสตอนที่ประเทศฝรั่งเศสเกิดความอ่อนแอทั้งทางการเมืองและการทหารในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง และได้ใช้สาเหตุที่ญี่ปุ่นเคลื่อนทัพจากภาคใต้ของประเทศจีนเข้ามาอยู่ทางภาคเหนือของอินโดจีนเพื่อเตรียมการรุกลงใต้ทำการโจมตีผลประโยชน์ของประเทศฝรั่งเศสและของประเทศอังกฤษในเอเชีย มาเป็นข้ออ้างในการดำเนินนโยบายเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนที่เคยสูญเสียให้แก่ฝรั่งเศสคืน และทางผู้นำไทยได้ใช้เครื่องมือทั้งทางการทูตและกำลังทหารเพื่อให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ของนโยบายได้เป็นอย่างดี ถือได้ว่ารัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑ ประสบความสำเร็จในกิจการระหว่างประเทศเป็นอย่างสูง เพราะนอกจากจะสามารถได้ดินแดนบางส่วนที่เคยสูญเสียไปในประเทศลาวและประเทศกัมพูชาคืนจากฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๔๑ แล้ว ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๔๓ ประเทศไทยก็ยังได้ค่าตอบแทนจากการเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นโดยได้รับดินแดน ๒ รัฐฉานของพม่าซึ่งตอนนั้นเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ และดินแดนในแหลมมลายูคือ เคดาห์ เปอร์ลิส กลันตัน และตรังกานู ซึ่งในครั้งนั้นดินแดนเหล่านี้เป็นของประเทศอังกฤษ
อนุสรณ์แห่งความสำเร็จในนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในคราวนั้นก็คือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ยังตั้งตระหง่านให้พวกเราได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน และการดำเนินการทางการทูตและการต่างประเทศของผู้นำไทยในครั้งนั้นก็ยังสะท้อนให้เห็นผลประโยชน์ของไทยที่มีอยู่ยั่งยืนและยาวนานในอินโดจีนอีกด้วย
๔.รากเหง้าของนโยบายการเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส
ที่ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีความต้องการดำเนินนโยบายเรียกร้องร้องดินแดนในอินโดจีนฝรั่งเศสคืนจากประเทศฝรั่งเศส ก็ด้วยเหตุผลอย่างน้อย ๓ ประการดังนี้
๑) ประเทศไทยมีผลประโยชน์ในอินโดจีนก็เพราะว่าอินโดจีนมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อประเทศ
ไทย ทั้งนี้เพราะนับเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วอินโดจีนเคยเป็นดินแดนแข่งขันแย่งชิงกันเพื่อผลทางอำนาจและความมั่นคงปลอดภัยระหว่างประเทศไทยกับประเทศเวียดนามตลอดระยะเวลาอันยาวนานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ทั้งประเทศไทยและประเทศเวียดนามต่างแข่งขันกันเพื่อเข้าไปควบคุมประเทศกัมพูลาและประเทศลาว ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศเวียดนามนั้น ผู้นำไทยถือว่าประเทศกัมพูชาและประเทศลาวเป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับความมั่นคงของประเทศไทยต่อประเทศเวียดนาม ความสำคัญของประเทศกัมพูชาและประเทศลาวอยู่ที่ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ กล่าวคือผู้นำไทยมีความเห็นว่าหากประเทศศัตรูของประเทศไทยคือประเทศเวียดนามเข้ามาครอบครองดินแดนของประเทศลาวและประเทศกัมพูชาก็จะเป็นภัยคุกคามต่อเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยเมื่อนั้น ดังนั้น นอกเหนือจากประเทศพม่าแล้วอินโดจีนจึงเป็นกุญแจดอกสำคัญต่อผลประโยชน์แห่งชาติทางความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไทยในภูมิภาคนี้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติของดุลอำนาจ (balance of power) ผู้นำไทยมีความสนใจที่เข้าควบคุมประเทศลาวและประเทศกัมพูชา หรือหากควบคุมไม่ได้ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งผู้นำไทยจะไม่ยอมให้สองประเทศนี้ตกไปอยู่ในความครอบครองของประเทศที่สามที่จะเข้ามาสถาปนาความยิ่งใหญ่ในอินโดจีน
๒) ประเทศไทยมีผลประโยชน์ในอินโดจีนก็เพราะประชากรของทั้งประเทศลาวและประเทศกัมพูชามี
เผ่าพันธุ์ ศาสนา และภาษาเหมือนหรือคล้ายกับประชากรของประชากรของประเทศไทย โดยเฉพาะประชากรของประเทศลาวมีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกับของประชากรของประเทศไทยทั้งในด้านเผ่าพันธุ์และด้านศาสนา ส่วนประชากรของประเทศกัมพูชามีความเชื่อมโยงผูกพันกับประชากรของประเทศไทยทางด้านศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม แต่ประชากรของทั้งประเทศลาวและประเทศกัมพูชามิได้มีความผูกพันทางด้านภาษาหรือทางด้านศาสนากับประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ก็เพราะประชากรของประเทศเวียดนามนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบประเทศจีนมิใช่นิกายหีนยาน ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำไทยก็ยังมีความเชื่อว่าทั้งประเทศลาวและประเทศกัมพูชาก็ยังขาดแคลนท่าเรือและเส้นทางคมนาคมขนส่งจึงจะไม่สามารถดำรงเอกราชของตนไว้ได้ แต่จะถูกผนวกโดยประเทศไทยหรือประเทศเวียดนาม แต่เนื่องจากประชากรของทั้งประเทศลาวและประเทศกัมพูชามีเผ่าพันธุ์ ศาสนา วิถีชีวิต และเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประชากรของประเทศไทย ประเทศลาวและประเทศกัมพูชาจึงน่าจะหันมาทางประเทศไทยยิ่งกว่าจะหันไปทางประเทศเวียดนาม ด้วยการมีทัศนะเช่นนี้ผู้นำไทยในอดีตจึงสนใจที่จะผนวกประเทศลาวและประเทศกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเพื่อป้องกันมิให้ศัตรูของประเทศไทยเข้ามาใช้ประเทศลาวและประเทศกัมพูชาสถาปนาตนเองครอบงำภูมิภาคส่วนนี้ แต่ถ้าหากเป้าหมายหลักข้างต้นไม่สามารถบรรลุได้ผู้นำไทยก็หวังที่จะให้ประเทศลาวและประเทศกัมพูชาดำรงเป็นดินแดนกันชน(buffer zone) ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเวียดนาม หรือประเทศที่สามอื่นใดที่เข้ามามีอิทธพลในภูมภาคส่วนนี้
๓) ผลประโยชน์ของประเทศไทยในอินโดจีนถูกกระตุ้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงปลาย
คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เมื่อประเทศฝรั่งเศสได้เข้ามาเป็นมหาอำนาจครอบงำในอินโดจีน ซึ่งในช่วงดังกล่าวประเทศไทยได้สูญเสียดินแดนทั้งในประเทศลาวและประเทศกัมพูชาให้แก่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ และปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ทางผู้นำไทยมีความเห็นว่า ดินแดนในประเทศลาวและในประเทศกัมพูชาที่ประเทศฝรั่งเศสได้ไปจากประเทศไทยโดยใช้กำลังบังคับหรือไม่ก็โดยข่มขู่คุกคามด้วยกำลัง ดังนั้นประเทศไทยจึงมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องดินแดนที่สูญเสียไปนั้นกลับคืนมา
๕.ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอีกเป็นปัจจัยในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย
เมื่อก่อนจะเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสในกรณีของอินโดจีนในครั้งนี้
แนวนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อประเทศญี่ปุ่นก้าวขึ้นสู่ฐานะของ
มหาอำนาจเอเชีย ผู้นำไทยให้การยอมรับโดยพฤตินัยว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของเอเชีย ส่วนประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสถูกมองว่าเป็นมหาอำนาจอันดับสอง ผู้นำไทยได้ใช้ปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงทางดุลอำนาจของมหาอำนาจนี้ทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เพราะก่อนหน้านี้นโยบายต่างประเทศเดิมของประเทศไทยถูกสร้างและดำเนินมาโดยอาศัยสมมติฐานว่าประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของเอเชีย เมื่อปัจจัยทางดุลอำนาจของมหาอำนาจเปลี่ยนแปลงไป นโยบายต่างประเทศของไทยก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงฐานะของประเทศญี่ปุ่นด้วย
การปรับแต่งนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยในทิศทางข้างต้นได้เริ่มบังเกิดขึ้นในระหว่างกลาง
คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ถึง ค.ศ. ๑๙๓๓ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวในการเมืองระดับโลกและในระดับภูมิภาคประเทศอังกฤษกลายเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งส่วนประเทศฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจอันดับสอง ประเทศไทยซึ่งสามารถดำรงเอกราชของชาติไว้ได้เพราะความสามารถในการสร้างดุลอำนาจระหว่างมหาอำนาจทั้งสองนี้ ก็ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายภายในประเทศเพื่อให้เป็นไปในทิศทางของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งคือประเทศอังกฤษ โดยทางรัฐบาลไทยได้ส่งนักเรียนไทยไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ระบบการศึกษาของประเทศไทยเป็นแบบเดียวกับของประเทศอังกฤษ การขาดแคลนตำราในภาษาไทยทำให้นักเรียนไทยใช้ตำราภาษาอังกฤษทั้งในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัย ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองที่ผู้มีการศึกษานำมาใช้ นอกจากนั้นแล้วนโยบายทางการคลังและผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศไทยก็ยังเอนเอียงไปทางประเทศอังกฤษ
ก่อน ค.ศ. ๑๙๔๐รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในตอนแรกก็ได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ
ดุลอำนาจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แต่พอหลังเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ ได้เปลี่ยนแปลงมาดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบดุลอำนาจระหว่างประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส และประเทศญี่ปุ่น โดยมีประเทศญี่ปุ่นถูกนำเข้ามาเป็นประเทศที่สาม การลงนามในสนธิสัญญา ๓ ฉบับเมื่อปีวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ อาจจะนำมาอ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยนี้ได้ แต่เพื่อให้การดำเนินนโยบายเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนคืนของประเทศไทยบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้นำไทยในรัฐบาลจอมพล ป. ได้ตกลงใจว่าในบรรดา ๓ ชาติมหาอำนาจดังกล่าว การมีความเข้าใจอันดีกับประเทศญี่ปุ่นจะเกิดผลประโยชน์แก่ประเทศไทยมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ทางผู้นำไทยจึงยอมรับข้อเรียกร้องทุกอย่างของญี่ปุ่นก่อนที่จะได้ลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น ในวันเดียวกันประเทศไทยก็ได้ลงนามในสัญญาไม่รุกรานกัน(Non-aggression Pact) กับทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส
๖.ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของผู้นำไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยต่ออินโดจีนในช่วงเวลาระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๓๘ ถึงปี ค.ศ.
๑๙๔๔ ผู้นำในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีแนวความคิดเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองและผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในอินจีนเช่นเดียวกับของผู้นำไทยในรุ่นก่อนหน้า ยิ่งไปกว่านั้นในการมีความสัมพันธ์กับประเทศที่อยู่ในภูมิภาคและประเทศที่อยู่ภายนอกภูมิภาครัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามก็ได้สืบสานแนวปฏิบัติดั้งเดิมของไทยในเรื่องการดุลอำนาจ ซึ่งในแง่ของนโยบายต่างประเทศก็หมายถึงการป้องกันมิให้ประเทศหนึ่งประเทศใดที่เข้ามาแข่งขันแสวงหาอำนาจในภูมิภาคนี้มีอำนาจครอบงำประเทศไทยโดยใช้วิธีการสร้างดุลอำนาจ ยุทธวิธีดุลอำนาจนี้ก็ยังหมายถึงการพยายามดึงประเทศหนึ่งมาคานและดุลอำนาจของอีกประเทศหนึ่งเพื่อเป้าหมายสำคัญคือการดำรงเอกราชและอธิปไตยของประเทศไทยและในขณะเดียวกันก็สามารถปกป้องผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในอินโดจีนไปพร้อมๆกันด้วย
๗.ความสำเร็จของไทยในการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส
ที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในนโยบายต่างประเทศในอินโดจีนครั้งนี้ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากความ
พยายามของรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามที่ได้ดึงเอาประเทศญี่ปุ่นให้มาสนับสนุนนโยบายเรียกร้องดินแดนคืนนั่นเอง ดังนั้นนโยบายต่างประเทศของไทยที่เคยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสสองเจ้าอาณานิคมเพื่อนบ้านก็ได้เปลี่ยนแปลงโดยนำเอาประเทศที่สามคือญี่ปุ่นมาใช้ในยุทธวิธีคานและดุลอำนาจด้วย จากการศึกษาได้พบว่าผู้นำไทยของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามได้ดำเนินการใช้มหาอำนาจทั้งสามคานและดุลกันอย่างชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามสามารถแสวงหาผลประโยชน์ในอินโดจีนจากการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในภูมิภาคโดยประเทศที่สูญเสียผลประโยชน์ให้ประเทศไทยมากที่สุดคือประเทศฝรั่งเศส
๘.ผลดีของการดำเนินยุทธศาสตร์และยุทธวิธีดุลอำนาจ
เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน(Non-aggression Pact) กับประเทศอังกฤษและ
ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๔๐ และสนธิสัญญามิตรภาพ(Treaty of Friendship) ในวันเดียวกันกับประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามสามารถสร้างดุลอำนาจระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสได้สำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามก็ฉกฉวยโอกาสในช่วงที่ประเทศฝรั่งเศสอ่อนแอแสวงหาประโยชน์เรียกร้องดินแดนที่เคยสูญเสียในอินโดจีนคืนจากประเทศ ในการเจรจาสนธิสัญญาการไม่รุกรานกันกับประเทศฝรั่งเศสนั้น รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้หาประโยชน์จากท่าทีมิตรภาพของประเทศอังกฤษโดยนำมาใช้เป็นเครื่องมือบีบประเทศฝรั่งเศสให้ยินยอมผ่อนปรนตามข้อเรียกร้องของประเทศไทยอีกทอดหนึ่ง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ใช้กลยุทธ์ดึงศัตรูสองประเทศมาคานและดุลอำนาจกัน ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้มีความเป็นไปได้อย่างสูงก็เนื่องจากญี่ปุ่นในขณะนั้นกำลังดำเนินนโยบายรุกรานดินแดนทางด้านใต้ของประเทศจีน สอดประสานกับการเกิดขบวนการชาตินิยมและขบวนการเรียกร้องดินแดนคืน และขบวนการสร้างความยิ่งใหญ่ของประเทศไทยขึ้นในหมู่ของคนไทย ปัจจัยทั้งที่เป็นภายในและที่เป็นภายนอกเหล่านี้ ล้วนประกอบกันเป็นพลังสามารถเป็นสิ่งท้าทายสถานะทางการเมืองของทั้งประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศสในเอเชียให้สั่นคลอนได้ ก็จึงทำให้มหาอำนาจทั้งสองต้องยินยอมผ่อนปรนให้เป็นไปตามความต้องการของประเทศไทย
๙.เบื้องแรกแค่ขอปรับดินแดนในแม่น้ำโขง
ในเบื้องแรก ประเทศไทยได้ความยินยอมจากประเทศฝรั่งเศสโดยมีข้อตกลงให้มีการปรับพรมแดนตามลำน้ำโขง โดยข้อตกลงนี้ปรากฏอยู่ในจดหมายลับที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับเจ้าหน้าฝรั่งเศสเมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันในวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ สาระสำคัญของจดหมายลับดังกล่าวมีข้อความยืนยันว่าฝรั่งเศสยินยอมที่จะปรับปรุงพรมแดนตามแม่น้ำโขงให้เป็นตามแนวร่องน้ำลึก(talweg)และให้การรับรองว่าดินแดนที่อยู่ทางตะวันตกของร่องน้ำลึก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บรรดาเกาะแก่งใดๆที่อยู่ใกล้ฝั่งของประเทศไทยก็ให้เป็นของประเทศไทยเพื่อความสะดวกในการบริหารแต่ทั้งนี้ประเทศไทยยังให้การรับรองว่าบรรดาเกาะใหญ่ๆทั้งหมดยังเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศสอยู่ต่อไป
๑๐.สถานการณ์เปลี่ยนและข้อเรียกร้องเปลี่ยนตาม
แต่พอฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงครามในยุโรปในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ สถานการณ์การเรียกร้องดินแดนคืนในอินโดจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที ผู้นำไทยของรัฐบาลจอมพล ป. ต้องการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส โดยผู้นำไทยประกาศว่ายังไม่พอใจกับสิ่งที่ประเทศไทยจะพึงได้จากข้อตกลงในสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส ข้อตกลงตลอดจนจดหมายลับที่ให้ไว้ต่อกันในวันลงนามในสนธิสัญญาให้คำมั่นที่จะให้ดินแดนแก่ประเทศไทยน้อยเกินไปสุดที่ขบวนการเรียกร้องดินแดนคืนจะยอมรับได้
ผู้นำไทยอ้างเหตุที่ญี่ปุ่นเคลื่อนทัพเข้ามาอยู่ในภาคเหนือของอินโดจีนเป็นข้ออ้างเพื่อขยายข้อเรียกร้องของฝ่ายประเทศไทย กล่าวคือทางรัฐบาลจอมพล ป. ต้องการประเทศกัมพูชาและประเทศลาวทั้งประเทศอันรวมถึงดินแดนส่วนต่างๆของดินแดนที่ฝรั่งเศสได้ไปจากประเทศไทยระหว่างปี ค.ศ. ๑๘๖๗ ถึง ค.ศ. ๑๙๐๗ ความต้องการของผู้นำไทยที่ต้องผนวกประเทศกัมพูชาและประเทศลาวนี้ก็เพราะถูกกระตุ้นจากความกลัวว่าประเทศไทยจะเกิดความขัดแย้งกับประเทศเวียดนามอีกครั้งหนึ่ง หรือเกิดจากความต้องการที่จะมิให้ประเทศเวียดนามหรือประเทศญี่ปุ่นเข้าครอบครองประเทศลาวและประเทศกัมพูชาอันจะนำไปสู่การคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศไทย ทัศนะของผู้นำในรัฐบาลจอมพล ป. สะท้อนให้เห็นการคำนึงถึงผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในอินโนจีนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานและถูกกระตุ้นจากประสบการณ์ที่ประเทศไทยเคยมีมาในอดีตทั้งกับประเทศเวียดนามและประเทศฝรั่งเศสในช่วงก่อนหน้านี้
๑๑.ก่อนสงครามไม่ประกาศระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส
ความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของผู้นำไทยที่จะดำเนินนโยบายเรียกร้องดินแดนคืนให้บรรลุผลจงได้นี้ได้นำไปสู่วิกฤตการณ์ตามพรมแดนอินโดจีนฝรั่งเศสและประเทศไทยและนำไปสู่สงครามระหว่างกันในช่วงเวลาสั้นๆอันส่งผลให้ประเทศไทยได้ดินแดนในลาวและกัมพูชาซึ่งประเทศไทยได้สูญเสียแก่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ และปี ค.ศ. ๑๙๐๗ จากเหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกนับแต่ยุคล่าอาณานิยมของชาวตะวันตกว่าผู้นำไทยได้ใช้ทั้งการทูตและกำลังทหารเป็นเครื่องมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศ โดยในช่วงแรกรัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป.ได้ทำการเจรจากับประเทศฝรั่งเศสโดยตรง ครั้นประสบความล้มเหลวไม่สามารถชักนำให้ประเทศฝรั่งเศสยินยอมตามข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยได้ รัฐบาลไทยก็ได้ใช้การทูตในเชิงรุกโดยการทูตเชิงรุกนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงมหาอำนาจอื่นๆให้มาสนใจในข้อเรียกร้องของประเทศไทย มหาอำนาจเหล่านี้ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเยอรมนี และประเทศอิตาลี รัฐบาลไทยได้รับการตอบรับเชิงเห็นอกเห็นใจจากประเทศญี่ปุ่น ประเทศเยอรมนี และประเทศอิตาลีซึ่งฝ่ายประเทศไทยได้ใช้คานและดุลกับท่าทีที่ไม่เป็นมิตรและไม่เห็นด้วยของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษต้องการให้ดำรงสถานภาพเดิม(status quo)เอาไว้ในอินโดจีน กระนั้นก็ดีขณะที่สหรัฐอเมริกายืนหยัดในหลักการสถานภาพเดิมอย่างแข็งขัน แต่ประเทศอังกฤษกลับมีท่าทียืดหยุ่นในหลักการสถานภาพเดิม
๑๒.การทูตเชิงรุกของประเทศไทย
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมภายนอกที่อยู่ในลักษณะคานและดุลอำนาจดังกล่าว ผู้นำไทยในรัฐบาลของจอมพล ป. จึงได้โอกาสใช้กลยุทธ์ดึงมหาอำนาจหนึ่งมาคานและดุลอีกมหาอำนาจหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย กลยุทธ์นี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อตอนที่รัฐบาลจอมพล ป. พิปูลสงครามส่งคณะผู้แทนของประเทศไทยที่เรียกว่าคณะทูตสันถวไมตรี (Special Goodwill Missions) ไปยังมหาอำนาจต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทูตของประเทศไทยในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือคณะผู้แทนทูตสันถวไมตรี (Special Goodwill Mission) ที่เดินทางไปยังกรุงฮานอย และกรุงโตเกียว ที่นำคณะโดย พันเอก หลวงพรหมโยธี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้ปฏิบัติการการทูตเชิงรุกในครั้งนี้ แต่ผู้แทนคณะนี้ไม่ประสบความสำเร็จในการชักนำให้ประเทศฝรั่งเศสยอมรับข้อเสนอของประเทศไทยว่าประเทศไทยจะร่วมมือกับประเทศฝรั่งเศสต่อต้านการรุกรานของประเทศญี่ปุ่นในอินโดจีนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ประเทศฝรั่งเศสจะยกดินแดนที่อยู่ทางหลวงพระบางและปากเซแก่ประเทศไทย เมื่อคณะทูตสันถวไมตรีคณะนี้เดินทางไปถึงกรุงโตเกียวในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๔๐ ได้สร้างความวิตกกังวลให้แก่รัฐบาลของประเทศอังกฤษเป็นอย่างมากเพราะเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างงประเทศอังกฤษมีความหวั่นเกรงว่าทางคณะผู้แทนไทยคณะนี้จะเจรจายินยอมรับข้อเรียกร้องทางการทหารของประเทศญี่ปุ่นที่ต้องการตั้งฐานทัพอากาศและฐานทัพเรือในดินแดนของประเทศไทย ทางประเทศอังกฤษจึงได้แสดงท่าทีออกมาว่ามีความเห็นชอบที่ทางประเทศไทยจะขอดินแดนที่อยู่ทางหลวงพระบางและปากเซจากประเทศฝรั่งเศส แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถใช้ชั้นเชิงทางการทูตจนสามารถได้ความเห็นใจจากประเทศอังกฤษ แต่ประเทศไทยก็ไม่สามารถได้ดินแดนเหล่านี้โดยการเจรจาโดยตรงกับประเทศฝรั่งเศสได้ ทั้งประเทศอังกฤษก็ไม่สามารถช่วยประเทศไทยให้ได้ดินแดนเหล่านี้ได้ ในขณะเดียวกันนั้นทางประเทศไทยก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทัศนะที่แข็งขันและไม่ยืดหยุ่นของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องการคงสถานภาพเดิมในอินโดจีนได้สำเร็จ
๑๓.ความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองภายในกับนโยบายต่างประเทศ
เมื่อการทูตเชิงรุกของรัฐบาลของจอมพล ป. แสดงที ท่าว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในนโยบายเรียกร้องดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศสเช่นนี้เสียแล้ว ทางกองทัพบกและกองทัพเรือของไทยก็ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจอมพล ป. และได้มีสิ่งบอกเหตุปรากฏออกมาว่าทางกองทัพบกและกองทัพเรือจะบีบบังคับให้จอมพล ป.ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากจอมพล ป.ต้องถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจริง ผู้ที่กองทัพบกและกองทัพเรือจะเลือกให้เข้ามารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีแทนจอมพล ป. ก็คือ พลเรือโท สินธุ์ สงครามชัย ผู้บัญชาการทหารเรือ หรือไม่ก็พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยสถานการณ์บีบบังคับทางการเมืองภายในดังกล่าว จอมพล ป. ซึ่งต้องการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ก็ได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น จอมพล ป. จึงได้ให้คำมั่นสัญญาด้วยวาจากับผู้ช่วยทูตทหารญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๐ ว่าทางประเทศไทยจะไม่ดำเนินนโยบายเป็นกลาง(neutrality)แต่จะยอมให้ญี่ปุ่นใช้ดินแดนของประเทศไทยเพื่อเป็นทางผ่านไปโจมตีแหลมมลายูและพม่า ทั้งนี้ทางประเทศไทยขอให้ญี่ปุ่นช่วยเหลือสนับสนุนให้ประเทศไทยได้ดินแดนในอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส แต่เพื่อให้เกิดการคานและดุลอำนาจกับข้อตกลงทางวาจาที่ให้ไว้กับประเทศญี่ปุ่นดังกล่าว จอมพล ป. ได้พยายามที่จะใช้ประเทศอังกฤษเป็นมหาอำนาจคานและดุลประเทศญี่ปุ่น จากหลักฐานปรากฏว่า ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา จอมพล ป. ได้ส่งพันเอก หลวงขาบกุญชร เป็นผู้แทนลับไปยังสิงคโปร์เพื่อแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ทางทหารของอังกฤษที่นั่นว่า ประเทศไทยจะทำการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นหากประเทศญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยไปโจมตีมลายาและพม่า
๑๔.การใช้กำลังทหารผสานกับการทูต
เมื่อเชื่อว่าสามารถสร้างดุลอำนาจในชั้นนี้ได้สำเร็จแล้ว จอมพล ป. ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพภายในประเทศเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือของนโยบายเรียกร้องดินแดนคืนจากประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๔๐ สงครามไม่ประกาศ(undeclared war)ระหว่างประเทศไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสก็ได้ระเบิดขึ้น ประเทศฝรั่งเศสเสียเปรียบในสงครามครั้งนี้เพราะไม่สามารถเสริมกำลังพลจากดินแดนส่วนอื่นของฝรั่งเศสมาได้ทัน ก่อนที่ประเทศญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงทางการทูตเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ค.ศ. ๑๙๔๑ กองบัญชาการทหารสูงสุดไทยประกาศว่า กองทัพไทยสามารถยึดพื้นที่หลวงพระบางด้านประเทศลาวที่ประเทศไทยเคยสูญเสียแก่ฝรั่งเศสได้ทั้งหมดและพื้นที่ในกัมพูชาจากพรมแดนประเทศไทยลึกเข้าไปในกัมพูชาถึง ๔๐ กิโลเมตร เสื่อมวลชนไทยต่างประโคมข่าวรายงานว่า ดินแดนประเทศลาวและประเทศกัมพูชาทั้งประเทศจะถูกทหารไทยยึดได้ทั้งหมดหากประเทศญี่ปุ่นไม่มาแทรกแซงการรบในครั้งนี้เสียก่อน
๑๕.อนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส
ตามข้อตกลงใน อนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส(Franco-Thai Peace Convention) ฉบับวันที่ ๙ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ ประเทศไทยได้เพียงดินแดนส่วนหนึ่งในประเทศลาวและประเทศกัมพูชาน้อยกว่าที่ประเทศไทยเรียกร้องมาก และก็น้อยกว่าที่กองทัพไทยสามารถยึดได้เสียอีก ดินแดนที่ได้คืนมานั้นเป็นแค่ส่วนเสี้ยวของดินแดนที่ประเทศไทยเคยสูญเสียแก่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ และปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ยิ่งไปกว่านั้นทางประเทศไทยยังตกลงที่จะจัดตั้งเขตปลอดทหารและจ่ายเงินชดเชยความเสียหายแก่ประเทศฝรั่งเศสเสียอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นในหมู่ของผู้นำไทยว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นศัตรูยิ่งกว่าจะเป็นมิตรของไทย ความรู้สึกนี้เกิดจากที่ผู้นำไทยไม่พอใจในบทบาทของประเทศญี่ปุ่นในฐานะเข้ามาเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยและต่อมาได้เริ่มเข้ามามีอิทธิพลเหนือประเทศไทยทั้งทางด้านการเมืองและทางด้านเศรษฐกิจ
๑๖.ผู้นำไทยพยายามดึงสหภาพโซเวียตมาสนใจประเทศไทย
จากการที่ผู้นำไทยในรัฐบาลจอมพล ป.ไม่พอใจบทบาทของญี่ปุ่นในช่วงไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทและการไม่ไว้ใจประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามามีอิทธิพลบีบบังคับประเทศไทยในหลายด้านหลังสงครามอินโดจีนนี่เอง ได้นำไปสู่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหภาพโซเวียต ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ถูกตัดขาดหลังจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำการโค่นล้มพระเจ้าซาร์แห่งราชวงศ์โรมานอฟและประเทศสหภาพโซเวียตมีการปกครองตามระบอบคอมมิวนิสต์ ที่ผู้นำไทยริเริ่มทางการทูตครั้งนี้ก็เพราะมีความตั้งใจจะใช้ประเทศสหภาพโซเวียต(ร่วมกับประเทศอังกฤษ) เพื่อถ่วงดุลอำนาจของประเทศญี่ปุ่นในเอเชีย จากหลักฐานปรากฏว่า ขณะที่พันเอก ประยูร ภมรมนตรี หัวหน้าคณะทูตสันถวไมตรีที่ส่งไปเยือนประเทศต่างๆในยุโรปอยู่ในกรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมี ก็ได้รับคำสั่งจากจอมพล ป. ให้รีบเดินทางไปที่กรุงมอสโกเพื่อเจรจาทำสนธิสัญญากับประเทศสหภาพโซเวียต ผลของการเจรจาในครั้งนี้ทำให้มีการประกาศการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางด้านการทูตและการค้าระหว่างประเทศไทยและประเทศสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๑๙๔๑ ซึ่งเป็นช่วงแค่หนึ่งวันหลังจากมีการลงนามข้อตกลงทางพรมแดนด้านอินโดจีนระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสที่กรุงโตเกียว
เรื่องที่นำมาเสนอข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหรือกรณีศึกษา ของการดำเนินนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอินโดจีนฝรั่งเศส ในช่วงระยะแรกของการบริหารประเทศของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเท่านั้น หากมีโอกาสผู้เขียนจะได้นำเสนอฉากอื่นๆของนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยในช่วงอื่นๆต่อไป.
-----------------------
เอกสารอ้างอิง
๑.Jack C. Plano & Roy Olton, The International Relations Dictionary, Third Edition, ABC-CLIO, 1982.
๒.Thongbai Honviangchan, THE DYNAMICS OF THAI FOREIGN POLICY TOWARDS INDO-CHINA 1938-1950, A thesis submitted for the degree of Master of Philosophy, The London School of Economics and Political Science, University of London,1984.
Subscribe to:
Posts (Atom)